จริงๆแล้วโลกนี้มันคือสมมุติ เวลาทั้งหมดก็สมมุติ รูปนามก็สมมุติ ชื่อเรียกสรรพนามก็สมมุติ เมื่อเห็นได้ดังนี้ใจมันก็คลายจากความทุกข์ โลกทั้งโลกมันว่างหมด แขนขาเราเองก็หายหมด กายเราก็หายหมด มันว๊าปรวมเป็นอันเดียวกับความว่าง โลกมันว่างไปหมด รูปนามก็ว่าง มันไม่มีอะไรเลย ที่เห็นที่ทุกข์กันทุกวันนี้มันทุกข์เพราะสมมุติ โลกนี้นะมันสมมุติ พอเห็นว่าโลกนี้สมมุติมันก็เห็นวิมุติเท่านั้น อ๋อ พระพุทธเจ้าเห็นอย่างนี้หนอ สุญญตามันเป็นแบบนี้เองหนอ ที่เรียกว่าว่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณเหมือนอยู่บนอวกาศมันเป็นแบบนี้หนอ กว่าจะไปเห็นแบบนี้ได้ต้องทำยังไง ก็ต้องภาวนาสมถะวิปัสสนา รวมถึงพิจารณาร่างกาย ธาตุ4 ขันธ์5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อาหาเรปฏิกูล อสุภะกรรมฐาน เริ่มจากหายใจเข้ารู้ หายใจออกวาง หรือทำอานาปานสติ ดูลมหายใจเข้า ดูลมหายใจออก แล้วค่อยถอยมาพิจารณาร่างกาย เห็นว่าร่างกายนี้มันตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ระหว่างทางมันจะปวดตูดปวดขามาก ต้องข้ามเวทนาใหญ่ไปให้ได้ ถ้าข้ามไปได้แล้วความปวดมันก็หาย วิธีข้ามคือตายเป็นตาย ภาวนาแบบถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า ถ้ามันตายก็ให้มันตาย ผีจะมาก็ให้มาตายเป็นตาย แบบนั้นแหละถึงจะข้ามเวทนาใหญ่ไปได้ ข้ามไปได้ก็พิจารณาธรรม เห็นธรรมในธรรม พิจารณาสภาวะธรรมชาติ ต้นไม้ ใบไม้ ภูเขา เห็นว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นว่าร่างกายก็เป็นเช่นต้นไม้ใบไม้นั้น มันก็ถอนอุปาทานออกเท่านั้น กายนี้ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีอะไรเป็นเราเลยมันก็ถอนอัตตาถอนอุปาทานเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น