การอยู่กับคำบริกรรม หายใจเข้า - รู้
หายใจออก - วาง
ก็คือการละนันทิ ละความเพลิน อกุศลกรรมต่างๆที่จิตเราคิด เรื่องเก่าต่างๆ พอถึงคำว่า วาง คือวางหมด พอรู้ คือรู้ใหม่ รู้คือสติ รู้ว่าทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ เวทนาสุขทุกข์ อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี หรือ อารมณ์เฉยๆ เกิดดับๆๆๆ ไปเรื่อยๆเพราะจิตเจตสิกมีการเกิดดับตลอดเวลา อย่าให้สังขาร,เจตสิกปรุงชั่ว ทำแค่2อย่างรู้กับวาง
เจตสิก 3 ฝ่าย กุสลาธรรมา อกุสลาธรรมา อัพยากตาธรรมา(ธรรมที่เป็นกลางๆ) เจตสิกคือธรรมชาติสิ่งหนึ่ง ซึ่งประกอบกับจิต และปรุงแต่งจิตให้ประพฤติเป็นไปตามนั้น มีทั้งหมด 52 ดวง
จิตที่ยังมีเจตสิกฝ่ายเลว ย่อมนำพาให้เกิดภพชาติ
จิตที่ปราศจาก เจตสิกฝ่ายเลว คือจิตที่หลุดพ้น
พ้นอะไร คือพ้นจากทุกข์ พ้นจากการเกิด (ชาติภพ)
ดั้งนั้น กองทุกข์ ก็คือ เจตสิกฝ่ายเลว
ได้แก่
อกุศลเจตสิก ๑๔
โมจตุกเจตสิก ๔
1.โมหะ (ความหลง)
2.อหิริกะ(ความไม่ละอายต่อบาป)
3.อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป)
4.อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบแห่งจิต)
โลติกเจตสิก ๓
1.โลภะ (โลภ)
2.ทิฏฐิ (ยึดว่าตัวกูของกู)
3.มานะ (ความถือตน)
โทจตุกเจตสิก ๔
1.โทสะ (ความโกรธ)
2.อิสสา (ริษยา)
3.มัจฉริยะ (ตระหนี่ถี่เหนียว)
4.กุกกุจจะ (ความรำคาญใจ)
ถีทุกเจตสิก ๒
1.ถีนะ (ง่วงเหงา)
2.มิทธะ (เศร้าซึม)
วิจิกิจฉาเจตสิก ๑
1.วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
แต่การบริกรรมทำได้แค่การกดไว้ แต่การจะให้หายไปสิ้นเชิง ต้องเดินปัญญา วิปัสสนากรรมฐาน พิจารณาไตรลักษณ์ในจิต หรือในกาย แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล
#ธรรมะ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น