วิชชา ๓ เครื่องมือแห่งการตรัสรู้ธรรม
บทความจากพระสูตรบางส่วนเรื่องการตรัสรู้ธรรมของพระศาสดาบุคคลควรพิจารณาดูอย่างยิ่งเพราะ โลกนี้คือคุกแห่งสังสารวัฏที่ติดของสัตว์
-------------------------------------
การตรัสรู้อริยสัจ ๔ และธรรมอื่นๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัยอำนาจแห่งญาณทัสสนะของวิชชา ๓ เป็นเครื่องมือในการค้นคว้าความจริง วิชชา ๓ นี้ ทรงได้จากการบำเพ็ญสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างอุทิศชีวิตเป็นเดิมพันวิชชา ๓ คืออะไร ?
วิชชา คือ ความรู้แจ้ง คือ ความรู้แจ่มแจ้ง ความรู้ชัดเจน ไม่คลุมเครือวิชชา เป็นความรู้แจ้งเห็นแจ้งตามความเป็นจริงที่เกิดจากการบำเพ็ญวิปัสสนา มิใช่ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน หรือการนึกคิดคาดคะเนวิชชา เป็นชื่อของญาณที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ มี ๓ อย่าง คือ...
วิชชาที่ ๑ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ความรู้แจ้งเป็นเหตุให้ระลึกอดีตชาติของตนเองได้
วิชชาที่ ๒ จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพพจักขุญาณ คือ ความรู้แจ้งในเรื่องการไปเกิดมาเกิดของสัตวโลกทั้งปวง
วิชชาที่ ๓ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้แจ้งที่ทำให้กิเลสสิ้นไป
ด้วยอานุภาพของวิชชา ๓
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้สำเร็จด้วยอานุภาพของวิชชา ๓ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้สำเร็จ นับแต่นั้นมากิเลสที่ ห่อหุ้ม หมักดอง บีบคั้น บังคับพระทัยของพระองค์มายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น
ดังนั้น พระองค์จึงตรัสปฐมพุทธพจน์เป็นการประกาศอิสรภาพจากการเป็นนักโทษในวัฏสงสารอย่างเป็นทางการว่า...
“เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือนเมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารมีชาติเป็นอเนก ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์,แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว,ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้,ซี่โครงทุกซี่ของท่าน เราหักเสียแล้ว,ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว,จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว,เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว”
ถ้อยคำในปฐมพุทธพจน์บางคำแฝงความหมายไว้ดังนี้
เรือน หมายถึง ร่างกาย ที่ใช้ในการเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วนนายช่างผู้ทำเรือน หมายถึง ตัณหา (ความอยาก) ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของกิเลส อันเป็นสาเหตุให้สรรพสัตว์ต้องติดคุกอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิดเราพบท่านแล้ว หมายถึง เราตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ได้พบท่านแน่นอนแล้วท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ หมายถึง ท่านจะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกไม่ได้
ซี่โครง หมายถึง กิเลสเหล่าอื่นทั้งหมด
ยอดเรือน หมายถึง อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้แจ้งในเรื่องความจริงของชีวิต ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต อันเป็นเหตุให้สัตวโลกตกอยู่ในสภาพการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
ธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน หมายถึง พระทัยของพระพุทธองค์บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ด้วยการบำเพ็ญสัมมาสมาธิจนกระทั่งบรรลุวิชชา ๓
จากปฐมพุทธพจน์นี้ อาจสรุปได้ว่า วิชชา ๓ นั้น เปรียบเสมือนเครื่องมือที่พระพุทธองค์ทรงใช้ในการค้นพบความจริงต่าง ๆ ที่ถูกปิดบังเป็นความลับไว้ในวัฏสงสารมากมายหลายเรื่อง เช่น อริยสัจ ๔ ภพ ๓ โลกันตร์ เป็นต้น
คนทั้งโลกไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า โลกนี้คือคุกแห่งสังสาารวัฏ ทุกคนล้วนกำลังเป็นนักโทษตดิคุกนี้อยู่วัฏสงสารยาวนานเท่าใด
การบรรลุวิชชา ๓ ทำให้พระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงว่า วัฏสงสารนี้มีมายาวนานจนไม่อาจกำหนดระยะเวลาเบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลายได้ ดังที่ตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้ยังมีอวิชชาเป็นที่กางกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ...”
พระองค์ยังได้ตรัสแสดงธรรมอีกว่า เพราะความไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม ทำให้โลหิตที่มนุษย์แต่ละคนต้องสูญเสีย เนื่องจากการถูกตัดศีรษะเมื่อเกิดเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น โค กระบือ แกะ แพะ ไก่ สุกร หรือเป็นโจรปล้น เป็นชายชู้ ฯลฯ
ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนั้น มีปริมาณมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ แห่ง รวมกันเสียอีก แต่ปัญหาก็คือ คนทั้งโลกไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า โลกนี้คือคุกแห่งสังสารวัฏ ทุกคนล้วนกำลังเป็นนักโทษติดคุกนี้อยู่ ไม่รู้ว่าตนกำลังตกอยู่ภายใต้ กฎแห่งกรรมและกฎไตรลักษณ์ ไม่มีใครรู้สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ตนประสบทุกข์ เพราะไม่ว่าคนจน หรือคนรวยต่างก็มีทุกข์ทั้งสิ้น จึงไม่มีใครช่วยใครให้พ้นทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด จำต้องเวียนว่ายตายเกิด และทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกนี้โดยไม่รู้จบสิ้น โดยไม่มีใครตอบได้ว่า วัฏสงสารยาวนานเท่าใด..อนุโมทนาสาธุในการธรรมค่ะทุกท่าน..
----------------------------
ที่ติดของสัตว์
ภิกษุ ท. ! สังสารวัฏนี้ เป็นสิ่งที่มีเบื้องตนและเบื้องปลายอันบุคคลรู้ไม่ได้ (เพราะเป็นวงกลม), เบื้องตน เบื้องปลาย ไม่ปรากฏ แก่สัตวทั้งหลาย ซึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน กําลังแล่นไปอยู่ ท่องเที่ยวไปอยู่.
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนสุนัข ถูกผูกด้วยเครื่องผูกสุนัข ซึ่งเขาผูกไว้ที่หลักหรือเสา อันมั่นคง : ถ้ามันจะเดินก็เดินเบียดหลักหรือเสานั้นเอง,
ถ้ามันจะยืนก็ยืนเบียดหลักหรือเสานั้นเอง, ถ้ามันจะนั่งก็นั่งเบียดหลักหรือเสานั้นเอง, ถ้ามันจะนอนก็นอนเบียดหลักหรือเสานั้นเอง, อุปมานี้ ฉันใด ;
ภิกษุ ท. ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ บุถุชน ผู้ไม่ได้ยินได้ฟัง ย่อมตามเห็น พร้อม (คือเห็นดิ่งอยู่เป็นประจํา) ซึ่ง รูป ว่า “นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้ ;ยอมตามเห็นพร้อม ซึ่ง เวทนา ว่า
“นั่นของเรา (เอตฺ มม)นั่นเป็นเรา (เอโสหมสฺมิ)
นั่นเป็นตัวตนของเรา (เอโส เม อตฺตา)” ดังนี้ ;ยอมตามเห็นพร้อม ซึ่ง สัญญา ว่า “นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้;
ย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่ง สังขาร ทั้งหลาย ว่า “นั่นของเรา นั่นเป็น
เรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้ ;และย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่ง วิญญาณ ว่า“นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้.
ถ้าบุถุชนนั้นเดินอยู่ก็เดินอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง,
ถ้าบุถุชนนั้นยืนอยู่ก็ยืนอยู่ใกล้ ๆปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง,
ถ้าบุถุชนนั้นนั่งอยู่ก็นั่งอยู่ใกล้ๆ ปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง,
ถ้าบุถุชนนั้นนอนอยู่ก็นอนอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง.
ภิกษุ ท. ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ บุคคลควรพิจารณาดูจิต
ของตนอยู่เสมอไป ว่า“จิตนี้ เศร้าหมองแล้ว ด้วยราคะ โทสะ และโมหะ ตลอดกาลนาน”ดังนี้เถิด.
------------------------------------
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘๓/๒๕๘.
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น