วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

พิธีเจริญพระพุทธมนต์

 นิมนต์พระมาเป็นจำนวนคี่ครับ เจริญพระพุทธมนต์ คือ นิมนต์พระมาสวดพระปริต 7 ตำนาน ที่เวลาอาราธนา ขึ้นต้นด้วย วิะปะติปติพาหายะ (อาราธนาพระปริต)
สำคัญที่สุดต้องรีบนิมนต์บุ๊คคิวพระให้ได้ก่อนครับ นัดวันเวลาที่แน่นอน แล้วตกลงกับพระท่านให้ชัดเจนว่าให้ท่านมาเองหรือเราจะไปรับ
ต้องถามท่านด้วยว่าท่านมีรถมาไหม
และถ้าเช้า ต้องให้ฉันเช้าด้วย ถ้าเพลต้องให้ฉันเพลด้วย ถ้าไม่สะดวกให้พระฉัน ก็ต้องแต่งปิ่นโตให้ท่านกลับไปฉันที่วัดครับ
เว้นแต่เย็นครับ
เตรียม
1.โต๊ะหมู่บูชา และพุทธรูปองค์พระธาน
2.ตาละปัด
3.บาตรน้ำมนต์ และกำหญ้าที่พระตะหวัดน้ำมนต์ เทียนสำหรับน้ำมนต์ และดอกไม้ธูปเทียน ไฟแช๊ค สายสินธ์ม้วนๆ
4.อาสนะ ครบทุกองค์
5.กระโถน ครบทุกองค์
6.ทิชชู ครบทุกองค์
7.แก้วน้ำ หรือขวดน้ำเปล่า ครบทุกองค์
8.ถังสังฆทานขั้นต่ำ 1 ถัง
9.ซองปัจจัยครบทุกองค์
10. กรวยขัน 5  สี่ทิศ เหนือใต้ออกตก
11. ภัตตาหาร หรือ ปิ่นโต แล้วแต่สะดวก
12. พาข้าวพระพุทธ สำหรับถวายข้าวพระพุทธ
13. หมอนสำหรับเจ้าบ้านหรือประธานในพิธีกราบตอนจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

คนอยู่หรือคนไปล้วนมายา

 คนอยู่หรือคนไปล้วนมายา

คนอยู่ไม่อยากไป

คนไปด่าคนอยู่

อยู่ก็บ่าย

ไปก็เที่ยง

แล้วแต่ใจปรารถนา

อยู่นานไม่มีเวลาสิ้นสุด

ไปแล้วไปลับไม่กลับมา

โลกนี้กว้างใหญ่แต่มีขอบเขต

แต่จักรวาลกว้างไกลไม่มีขอบเขต

เวลาและจักรวาลคือสิ่งที่กว้างใหญ่ยาวไกลไม่มีสิ้นสุด

โลกที่ตาเห็นคนละโลกกับโลกหลังความตาย

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

คาถามหาเสห่น์

 พะทะนะมะ

พะ คือไฟเร่าร้อนเผาหัวใจมึง อยู่มิได้

ร้องไห้มาหากู

ทะ คือลมให้เกิดเป็นพัชชะวาตพัดดวงใจ

มึงให้ปั่นป่วนอยู่ไม่ได้ร้องไห้มาหากู

นะ คือน้ำ ท่วมท้นหัวใจมึง อยู่ไม่ได้

ร้องไห้มาหากู

มะ คือดินโถมทับหัวใจมึง อยู่มิได้

ร้องไห้มาหากู

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ใบ “โพธิ์” เป็นสัญลักษณ์แห่ง “พุทธะ” เพราะเป็นดั่ง

 




ใบ “โพธิ์” เป็นสัญลักษณ์แห่ง “พุทธะ” เพราะเป็นดั่งเครื่องหมายที่บ่งบอกถึง “การรู้ ตื่น และเบิกบาน” เหนือกาลเวลา  ด้วยเหตุนี้ การเกิดขึ้นของต้นโพธิ์ จึงหมายถึงการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าและการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าก็เปรียบได้กับการเกิดขึ้นของใบโพธิ์ เช่นกัน


ในพระไตรปิฏก  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 25 ขุททกนิกาย  โคตมพุทธวงศ์ กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 28 พระนามว่า พระโคตมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอยู่ 6 ปี จึงได้ประทับตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ควงไม้อัสสัตถะ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชลา ซึ่ง “ต้นอัสสัตถะหรืออัสสัตถพฤกษ์” รู้จักกันดีในชื่อของ ต้นโพธิ์หรือพระศรีมหาโพธิ์ นับได้ว่าเป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธประวัติอีกชนิดหนึ่ง เพราะเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารในระหว่างบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อค้นหาสัจธรรมนั้น พระองค์ได้ทรงเลือกนั่งประทับที่โคนต้นโพธิ์จนกระทั่งพระองค์ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ คือ อริยสัจ 4 อันประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เมื่อวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ขณะที่กรอบแนวคิดที่เป็นดั่งสายป่านส่งต่อให้ชาวพุทธเข้าใจถึงสัจจธรรมของต้น “โพธิ์”  เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่ง “พุทธะ” คือ การรู้ ตื่น และ เบิกบาน   เพื่อให้เราก้าวย่างให้ถึงซึ่งสามสิ่งนี้

1. การรู้  หมายถึง รู้ว่าอะไรเป็นอะไ รชีวิตนี้เกิดมาทำไม  การที่พระพุทธเจ้าได้ใช้ “ปัญญา” เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นปัญญาที่หลุดพ้นจากกิเลสและอวิชชา และบัญชาชีวิตของพระองค์มาหลายร้อยชาติ  

2. การตื่น หมายถึง ละเลิกจากการใช้ชีวิต ด้วยความโลภ โกรธ หลง  การที่พระพุทธเจ้าทรงมีดวงจิตที่เปี่ยมไปด้วย “สติ” ความระลึกได้และรู้สึกตัว ตื่นจากความหลับไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตื่นจากกิเลสที่เป็นเครื่องร้อยรัดให้ลุ่มหลงและมัวเมา 

 3. การเบิกบาน หมายถึง ออกจากความโลภโกรธ หลง  ดั่งเช่น สภาพจิตของพระองค์ได้ “เบิกบาน” เพื่อรองรับสายธารแห่งสัจธรรมความจริง ซึ่งเปรียบได้ดั่งบัวบานไม่มีวัน “หุบ” ไร้ซึ่งความมืดมัวแห่งอวิชชาที่จะเข้ามาครอบงำจิตใจ

เรียบเรียงโดยเพจ ภาพใบโพธิ์ ZenKa

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

คาถาเทวดาคุ้มครอง ตำราที่หลวงปู่กวยจดบันทึกไว้

 คาถาเทวดาคุ้มครอง ตำราที่หลวงปู่กวยจดบันทึกไว้



ตั้งนะโม 3 จบ


▪︎เทวากานนะนิกาเทถาหิกาสัมสัม

กาทากาเร กะถิสัมวายะยะ

ภะสัมนินะอะมัน พุระมะยูปุตุยะฯ


พระคาถานี้ภาวนาถึงจัตุมหาราธิกา

ถ้าจัตุเห็นคนนะรักทั้งหลาย ให้นั่งสมาธิบ่ายหน้าไปทางทิศบูรพา ให้ตั้งสติสำรวมจึงสวด 4 จบ 

"เมื่อเที่ยงคืน" ผู้ร้ายทำร้ายเรามิได้เลย 


▪︎ถ้าจะปราถนาแก้วแหวนเงินทองอาหารก็ดี ให้บ่ายหน้าไปทางทิศอิสาน สวด 2 จบ 


▪︎ถ้าจะให้เทวดารักษาก็ดีมิให้ไข้เจ็บก็ดี และจะให้รักเราก็ดี ให้สวด 15 จบ 


พระพุทธเจ้าภาวนาเป็นอารมย์ จิตจะมาได้รักเป็นพระพุทธเจ้าแลฯ 

#ถ้ามีผู้ใดพบพระธรรมบทนี้เหมือนได้พบพระพุทธเจ้า28พระองค์แลฯ


▪︎พามานา อุ กะสะนันทูฯ

คาถาสวดมนต์มิได้ไปนรกเลย🥰


ศิษย์หลวงพ่อกวย ชุตินธโร

วัดโฆสิตาราม (วัดบ้านแค) จ.ชัยนาท

ให้เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

 ให้เจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งเป็นวิหารธรรมของพรหม เรียกว่า พรหมวิหาร 4 เจอสิ่งที่ไม่พอใจ ให้อุเบกขา เจอสิ่งที่ต้องช่วยเหลือต้องเมตตา กรุณา เจอบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ต้องมุทิตา พลอยยินดี ไปกับเขา แม้ว่าเราจะไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ก็เอาพรหมวิหาร 4 ข่มจิตข่มใจตัวเองไปเรื่อยๆ ขัดเกลากิเลสภายในใจให้เบาบาง ต้องปล่อยวาง ต้องมีเมตตา ต่อสรรพสัตว์ ต่อเพื่อนมนุษย์ แม้แต่ต่อศัตรูผู้ปองร้าย ถือว่าเราเป็นคู่กรรมคู่เวรเขามาแต่ชาติปางก่อน ควรให้อภัยเขา แล้วบอกว่าเจ้าไปซะ ต่างคนต่างอยู่ ก็เมตตาเขา อภัยเขา อุเบกขาให้กับเขา




เมื่อตัดเวทนาได้ เจริญเวทนานุสติปัฏฐาน ก้าวข้ามพ้นความเจ็บปวดไปได้

 เมื่อตัดเวทนาได้ เจริญเวทนานุสติปัฏฐาน ก้าวข้ามพ้นความเจ็บปวดไปได้




ไฟนรกใดก็ไม่สามารถทำลายได้
ไฟใดๆ ก็ไม่ทำให้ผู้รู้ เจ็บปวดได้
จิตของพุทธะสูงกว่าที่จะลงนรก
เหมือนแก๊ส ไฮโดรเจน ฮีเลียม ที่พาบอลลูนลอยขึ้นฟ้า ฉันนั้น
เมื่อเวทนาดับก่อนตาย คือตายแบบไม่มีความเจ็บปวดทรมาน ขั้นต่ำคือพรหมโลก เพราะตายขณะเข้าฌาน สูงสุดคือนิพพาน เพราะละขันธ์ 5 ทิ้งขันธ์อันเป็นของหนักนี้ไปได้
มันสำคัญที่ตายก่อนตาย
เราต้องไปหามันก่อน
ก่อนที่มันจะมาหาเรา
การภาวนานี่คือการซ้อมตาย
พระธุดงค์สมัยก่อนเขาไปนั่งในป่า เขาภาวนาไว้เลยว่าถ้ากรรมเคยฆ่าเสือก็ให้เสือมันมากิน เอ้าตายเป็นตาย
การตั้งสัจจะก่อนบำเพ็ญภาวนานั่งสมาธิวิปัสสนาจึงสำคัญมาก
ถ้าไม่ได้ปัญญา จะไม่ลุกจะไม่ไปบิณฑบาตกินข้าวอดข้าวเป็นมื้อๆไปเลย ตัวอย่างหลวงตามหาบัวนั่งจนก้นท่านแตกเลย การบำเพ็ญวิริยะบารมี ขันติบารมี เนกขัมมะบารมีจึงมีความสำคัญมาก
นิพพานอยู่ฟากตายเด้อ ต้องเอาความตายมาแลกถึงจะได้ถึงจะพ้นทุกข์ ถ้าไม่กล้าทานขันธ์5 รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ สังขารขันธ์ให้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาแล้ว ย่อมไม่ถึงแก่นของพระธรรมคำสอน
ทานที่ประเสริฐคือทานขันธ์ 5 นี่แหละสละทิ้งคืนไว้แก่โลก
เหมือนเราจะเปลี่ยนชุดเปลี่ยนเสื้อผ้านี่แหละ ต้องถอดเสื้อผ้าตัวเก่าก่อน ถึงจะได้ใส่ชุดใหม่
เป็นคนใหม่ เป็นคนทิพย์ ที่เข้าถึงโลกทิพย์ มองโลกเป็นทิพย์ไปหมด อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง เอวังฯ

คาถาเอ็นดูมหาเสน่ห์

 คาถาเอ็นดูมหาเสน่ห์


วิชชาจะระณะสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา
ปิยะเทวะมนุสสานัง ปิโยพรหมานะ มุตตะโม
ปิโยนาคะ สุปัณณานัง
ปิณินทะริยัง นะมามิหัง
นะเมตตา โมกรุณา พุทปรานี ธายินดี ยะเอ็นดู

(ท่องก่อนไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อให้เกิดความรักใคร่เอ็นดู)



ประวัติหลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา (117 ปี) กรุงเทพฯ

 


ประวัติหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา (117 ปี) กรุงเทพฯ

หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา พระอริยสงฆ์ 7 แผ่นดิน ผู้มีอายุยืนยาวถึง ๑๑๗ ปี (พ.ศ.๒๓๖๓-๒๔๘๐) เป็นพระเถระอาจารย์โบราณรุ่นเก่า ท่านเป็นศิษย์น้องสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) วัดระฆังฯ และเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์
สหายที่หลวงปู่ทองไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาความรู้และวิชาอาคมต่างๆมี หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า หลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก หลวงปู่ภู วัดอินทร์ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หลวงปู่แช่ม วัดฉลอง ท่านเจ้ามา วัดสามปลื้ม หลวงปู่ปั้น วัดเงิน
ท่านเป็นพระระดับปรมาจารย์ผู้มีกฤษฎาภินิหาร อภิญญา วาจาสิทธิ์ หนักแน่นในพระกรรมฐาน ลูกศิษย์ของท่านล้วนเป็นยอดพระเกจิแห่งยุคทั้งสิ้น แม้แต่ตอนสงครามอินโดจีน พระยาพหลพลพยุหเสนา (ลูกศิษย์) อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังได้นิมนต์ท่านขึ้นเครื่องบิน ไปโปรยทรายเสก รอบวัดพระแก้ว และสนามหลวง รวมทั้งบริเวณใกล้เคียงเพื่อให้คุ้มครอง มิให้เป็นอันตรายจากระเบิดของข้าศึก และยังได้ขอร้องให้ท่านสร้างเสื้อยันต์เพื่อแจกทหารไปใช้ในสงคราม ซึ่งเสื้อยันต์นี้มีกิตติศัพท์เลื่องลือกันมาก ว่าแคล้วคลาดยิงไม่ถูกหรือโดนยิงแล้วไม่เป็นอะไร บางคนโดนยิงล้มลง ก็ยังลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ จนได้รับฉายาว่า ทหารไทยเป็นทหารผี ซึ่งตอนนั้น เสื้อยันต์ที่ท่านสร้าง จะจารเขียนด้วยดินสอดำ ท่านเองทำให้ไม่ทัน จึงได้ให้ลูกศิษย์อีก 5 ท่านมาร่วมสร้างด้วย คือ หลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง ,หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม,หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก,หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา และหลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว
หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว เป็นศิษย์ก้นกุฏิ ที่ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้เอง และตอนที่หลวงปู่เผือกสร้างพระ หลวงปู่ทองก็ยังมอบผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งท่านแบ่งมาจากสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ศิษย์พี่ของท่าน ให้หลวงปู่เผือกนำไปสร้างพระผงขุดสระอันโด่งดังมาถึงปัจจุบัน
พระเกจิอาจารย์ที่มาขอเรียนวิชาจากหลวงปู่ทอง เช่น
หลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา
หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา
หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม สมุทรสงคราม
หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี
หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์ นครศรีธรรมราช
หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพระองค์ สมุทรสาคร
หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ภูเก็ต
หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี
แม้แต่ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ก็ยังเคยมาขอเรียนวิชากับท่านด้วย
ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดราชโยธาองค์แรก สมัยนั้นเป็นทุ่งโดดเดี่ยวสร้างอยู่กลางวงล้อมชุมชนไทยอิสลามที่ไม่ได้นับถือพุทธ ถ้าไม่เก่งจริงคงอยู่ไม่ได้ ชาวไทยอิสลามหลายคนหันมาศรัทธาเคารพนับถือท่านมาก เจ็บป่วย ผีเข้ายังต้องมาขอน้ำมนต์และให้ท่านรักษาให้ บางคนถึงกับเปลี่ยนศาสนาขอบวชเป็นพระเลยก็มี ชาวบ้านต่างรู้กันว่า หลวงปู่เป็นพระที่ไม่ธรรมดา มีเจโต รู้วาระจิต หูทิพย์ ตาทิพย์ รู้อดีตอนาคต ล่องหนหายตัว มีวาจาสิทธิ์ พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้นทุกประการ ครั้งหนึ่งมีโจรขโมยดวงพระเนตรของพระประธานที่เป็นพลอยเก่าไป ซึ่งหลวงปู่ได้มาตอนออกธุดงค์ ท่านทราบแล้วก็พูดลอยๆว่า “ไม่มีตา ก็มองไม่เห็นนะ” ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นมาทันที คนในหมู่บ้านข้างวัดคนหนึ่ง อยู่ดีๆก็เกิดตาบอดมองอะไรไม่เห็นเสียดื้อๆ ต้องรีบให้คนในบ้านช่วยเอาพลอยพระเนตรไปใส่คืนอย่างเก่า เมื่อหลวงปู่ทราบก็พูดลอยๆว่า “ฮือ มีตาก็มองเห็นนะ” ไม่กี่วันตาของชายผู้นั้นก็กลับมามองเห็นเป็นปกติเช่นเดิม
เรื่องที่ลูกศิษย์เจอกันบ่อยๆก็เห็นจะเป็นวิชาย่นระยะทาง บางครั้งมีกิจนิมนต์ไปที่ไกลๆ ท่านก็จะไล่ให้ลูกศิษย์ไปหรือขับรถกลับก่อน แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงที่ จะพบว่าท่านถึงรออยู่ก่อนแล้วทุกครั้ง บางทีสนทนาอยู่กับคนหนึ่ง ก็ไปปรากฏตัวอยู่อีกทีนึง มีคนเจอหลวงปู่คนละที่ในเวลาเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์
ไทยอิสลามเข้ามายิงนกในวัด ยิงไม่ออก สุดท้ายปืนกระบอกแตก จนต้องไปขอขมาท่าน ไทยอิสลามแอบเข้ามาตกปลาหว่านแหหลังวัด ก็ตกได้ใบไม้ บ้างเจอหัวกะโหลกจนจับไข้หัวโกร๋นไป ในสระน้ำที่วัด มีปลาชะโดตัวใหญ่จำนวนมาก มีคนมาแทงปลา แต่แทงยังไงก็ไม่โดน ถ้าแทงโดนก็ไม่ระคายผิวเนื้อปลาเลย คือเวลาท่านฉันข้าวเหลือ มักจะเอาข้าวนั้นมาให้ปลาชะโดในสระน้ำกินเป็นประจำนั่นเอง ท่านเมตตาสัตว์ต่างๆที่มาอาศัยวัด แม้แต่หมูที่ชาวบ้านมาปล่อยทิ้งไว้ในวัด ก็มีไทยอิสลามมาแอบยิง แต่ไม่มีใครยิงโดนซักตัว อย่างนี้เป็นต้น
ไทยอิสลามชอบนำวัวควายมาปล่อยขี้เลอะเทอะในวัด ท่านกำราบด้วยการบังตาให้วัวควายเหล่านั้นหายไป หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนต้องไปขอให้ท่านช่วย หลวงปู่ให้รับปากว่าจะไม่นำวัวควายมาเพ่นพ่านทำสกปรกในวัดอีก จึงให้ชายผู้นั้นไปใต้ถุนกุฏิ พลิกกะลามะพร้าวเปิดดู เมื่อพลิกกะลามะพร้าวแล้ว มองไปปรากฏว่าเห็นวัวควายของตนอยู่รวมกันกลางทุ่ง สร้างความฉงนแก่ไทยอิสลามผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบกลับขึ้นไปกราบเท้าขอขมาหลวงปู่และรับปากว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไป
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านใช้น้ำมนต์ขับไล่ผี และเอาด้ายสายสิญจน์มาผูกข้อมือให้เด็กอิสลาม หลวงปู่ทองว่า ด้ายนี้เอาไว้ป้องกันมันจะเข้าอีกไม่ได้ แล้วก็เอาน้ำมนต์ให้พวกแขกไปคนละขวด พร้อมด้ายสายสิญจน์ ส่วนน้ำมนต์เอาไปอาบบ้าง กินบ้าง ประพรมบ้านบ้างน้ำมนต์นี้ป้องกันผีห่าได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้น มา พวกแขกเหล่านั้นก็เชื่อมั่นในตัวหลวงปู่ทองต่างพากันนับถือ บางคนเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของ “น้ำมนต์”หลวงปู่ทองด้วยตาของตนเอง บ้างก็ได้ยินคำร่ำลือคำบอกเล่า บางครั้งพระพายเรือออกบิณฑบาตผ่านทางหน้าบ้านของแขกเหล่านั้น พวกเขาจะกวักมือเรียกให้พระจอดเรือแล้วเอาข้าวของมาฝากให้หลวงปู่ทอง บางคราวก็นำมาให้ถึงวัด เขาบอกว่าเขาให้คนที่นับถือ คนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าแขกใส่บาตรพระ
บทความจากเวบพลังจิต กฤดาภินิหารของหลวงปู่ทอง พระอรหันต์ ๗ แผ่นดิน
เรื่องนี้ได้ฟังจากปากหลวงปู่เปรื่อง วัดบางจาก ท่านได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการธุดงค์ของหลวงปู่ทองและหลวงปู่เอี่ยมปฐมนาม วัดสะพานสูง เรื่องการปราบรุกขเทวดาดังนี้
หลวงปู่ทอง ท่านมีใจรักในการธุดงค์ ในสมัยที่ท่านแข็งแรงมักจะออกธุดงค์ทุกปีกับสหายธรรมท่านหลายรูป หนึ่งในนั้นมี พระเดชพระคุณหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง อยู่ด้วยซึ่งหลวงปู่เอี่ยมท่านมีอายุมากกว่าหลวงปู่ทอง 4ปี ทั้งสองรูปออกเดินทางธุดงค์ผ่านดงพญาไฟ ก็พักอยู่ ณที่นั้น โดย หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง พักอยู่หน้าถ้ำ ส่วนหลวงปู่ทองท่านกางกลด ในถ้ำ พอตกดึกระหว่างที่หลวงปู่ทองท่านเดินจงกรม ก็ปรากฏเป็นยักษ์ตัวใหญ่ มาร้องตะโกนไล่ให้ท่านออกจากถ้ำ โดยบอกว่าตนเองมีสิทธิในถ้ำนี้แต่เพียงผู้เดียว หลวงปู่ทองท่านก็ตอบว่าถ้ำนี้อาตมาไม่ทราบว่าเป็นที่อยู่ของโยม อาตมาขอพักเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม สักคืน ผียักษ์นั้นก็ยังไม่ยอม พร้อมคว้ากระบองจะตีท่าน
ท่านก็กล่าวว่า เรา เป็นสมณศากยบุตร มาบำเพ็ญธรรมท่านมาตีเราด้วยเหตุใด ยักษ์ตอบว่าเราจะตีท่านเหตุมาบุกรุกที่ของเรา กล่าวจบยักษ์เงื้อพลองมาตีหลวงปู่ทองท่านก็ภาวนาพระคาถาสักพัก ยักษ์ก็ทิ้งกระบองลงแล้วคุ้มคลั่งปวดหัว บอกว่าพระคุณเจ้าหยุดภาวนาก่อน หลวงปู่ทองบอกว่าหากท่านสมาทานคำสัตย์ว่าจะไม่ทำร้ายเรา เราจะหยุดสวด ยักษ์พยักหน้า แล้วกลับกลายเป็นคนรูปงาม กราบที่เท้าท่านแล้วบอกว่า ตนเป็นยักษ์ดูแลที่นี่ นิสัยชอบลองดีพระธุดงค์ พระธุดงค์กลัวตนมาหลายองค์ มีพระคุณเจ้านี่แหล่ะที่ไม่กลัว กลับทำให้ข้าพเจ้าพ่ายแพ้เสียอีก
หลวงปู่ทองบอกว่า โยมคิดทำร้ายสมณศากยบุตรพระพุทธเจ้าจักเป็นโทษหนักนะ อาจตัดทางไปสู่พระนิพพานได้ ทีหลังโยมจงเว้นเสียเถิด ชายหนุ่มตอบว่า เข็ดแล้วครับพระคุณเจ้าโยมขอถวายสัตย์จะไม่ทำร้ายพระธุดงค์อีก ดีแล้วโยม แล้วรุกเทวดายักษ์ก็หายไป พอตอนเช้าหลวงปู่ทองออกจากถ้ำ หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนามท่านทักว่า คุณเมื่อคืนที่คุณปราบเทวดามิจฉาทิฐิตนนั้นเป็นบุญนักล่ะ ฉันทราบและรู้ด้วยว่ามีแต่คุณคนเดียวจะปราบพยศรุกขเทวดาตนนี้ได้ ชอบแล้วต่อไปนี้พระที่ธุดงค์มาที่นี่จะไม่ได้รับอันตรายอีก หลวงปู่ทองท่านก็ยิ้มแล้วทั้งสองรูปก็ออกเดินทางธุดงค์ต่อไป นี่เป็นอีกเรื่องเล่านึงที่นอกจากที่มีบันทึกไว้ในประวัติหลวงปู่ท่าน แต่เป็นเรื่องเล่าแบบมุขปาฐะสมควรนำมาลงเพื่อรักษาเรื่องราวมิให้สาบสูญ
หลวงปู่ทองท่านเป็นพระที่ความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ท่านมีอภิญญาจิตและปาฏิหาริย์มากมาย แม้แต่คนจะถ่ายรูปท่าน ก็ยังไม่มีใครถ่ายติด ตลอดชีวิตท่าน มีรูปที่ถ่ายท่านติดแค่ 3 ภาพเท่านั้น มีเพียงรูปเดียวที่ชัดสุด ก็คือ รูปที่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายร่วมกันไปอ้อนวอนขอถ่ายรูปท่าน ซึ่งเป็นรูปที่ท่านกำลังลงบันไดไปฉันเพล ส่วนรูปที่แอบถ่ายตอนท่านฉันเพลนั้นไม่ชัด ติดเป็นแค่เงา และรูปสุดท้าย หลังจากที่ท่านมรณะภาพในท่านั่งสมาธิที่กุฏิ ลูกศิษย์ต้องการถ่ายภาพ แต่เห็นว่าค่อนข้างมืด ถ่ายยาก จึงไปขยับร่างท่านเพื่อจะเคลื่อนย้ายออกไปถ่ายข้างนอก พอโดนตัวเท่านั้น ร่างท่านก็ล้มลงทันที เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่ได้ภาพท่านนั่งสมาธิในกุฏิ
ไม่ใช่เพียงแต่สมัยท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้น ภายหลังมรณภาพไปแล้ว ความอัศจรรย์ต่างๆก็ยังปรากฏอีกหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์แก้ว ได้หล่อรูปหลวงปู่ทองหน้าตัก 12 นิ้ว บูชาไว้ในโบสถ์ แต่ถูกขโมยหายไป ต่อมามีชาวบ้านพายเรือผ่านหลังวัดตอนเช้าตรู่ เห็นแสงประหลาดพุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำ จึงพายเรือเข้าไปใกล้ๆดู ปรากฏว่าน้ำบริเวณนั้นใสแจ๋ว มองลงไปก้นคลองเห็นรูปหล่อหลวงปู่ทองจมอยู่ใต้น้ำ จึงรีบช่วยกันนำขึ้นมาจากใต้น้ำ ทราบความภายหลังว่า กลางดึกคืนนั้นมีคนร้ายเข้าไปขโมยพระ แต่ติดวนหลงอยู่ทั้งคืนไม่สามารถหาทางออกจากอาณาเขตวัดได้เลย จนถึงรุ่งเช้าเกิดกลัวและได้ทิ้งรูปหล่อหลวงปู่ลงไปในคลองหลังวัดก่อนจะหนีไป จนชาวบ้านพายเรือมาพบแสงประหลาดนั่นเอง หลังจากนั้นอีก ๓ ปี คือ พ.ศ.๒๔๘๐ ท่านได้มรณภาพ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๘ นับรวมอายุได้ ๑๑๗ ปี พรรษา ๙๖ นับเป็น “พระอรหันต์” ที่มีอายุยืนนานที่สุดถึง ๗ แผ่นดิน  (ขอขอบพระคุณ ข้อมูลจาก หนังสือชีวประวัติ “หลวงปู่ทอง” วัดราชโยธา พิมพ์ พ.ศ.๒๕๒๔)
เป็นเรื่องเหนือวิสัยโลก อย่าได้คิดปรามาสเชียว อาจารย์เจ็ก ลูกศิษย์ฆราวาสรุ่นสุดท้ายของท่าน เดิมทีไม่มีความเชื่อเรื่องประทับทรง วันหนึ่งมีลูกศิษย์ 5-6 คนมาหาอ.เจ็ก หนึ่งในนั้นชื่อว่า นายเปี๊ยก อายุประมาณ 17 ปี อยู่ๆหลวงปู่ก็เข้ามาประทับร่างนายเปี๊ยก แล้วสั่งให้อ.เจ็กย้ายบ้าน เพราะที่นี่สกปรก หลวงปู่ไม่อยากมา เพราะบ้านอ.เจ็กขณะนั้นอยู่ติดกับแหล่งของผู้หญิงหากิน ซึ่งก็เป็นตามจริงดังนั้น หากแต่ว่าอ.เจ็กไม่มีเงิน หลวงปู่จึงบอกว่าจะช่วยหาบ้านให้เอง เป็นตึกแถวสองชั้น อยู่ซอยมารดานุเคราะห์ ห้องที่ ๗ ให้รอถึงเดือนสิงหาคมเสียก่อน ครั้นพูดจบแล้ว เพื่อนๆของนายเปี๊ยกที่มาด้วยก็ไม่มีใครเชื่อ คิดว่าแกล้งทำ ต่อมาปรากฏว่าได้มีนักเรียน ร.ร.สหคุณศึกษา และ ร.ร.สีตบุตรบำรุง มามอบตัวเป็นศิษย์ วันละ 20 กว่าคน 3 เดือนมีค่ายกครู 70,000 กว่าบาท อ.เจ็กจึกไปที่ตึกแถวที่หลวงปู่ได้บอกเอาไว้ ซึ่งมีเหลือเพียงห้องเดียวที่เค้าจะปล่อยเซ้ง เนื่องจากมีผู้มาตกลงนัดไว้ยกเลิกหลายรายโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงตกลงต่อรองทำสัญญากันเรียบร้อย บังเอิญว่าเหลือเวลาอีก 12 วันจะถึงวันไหว้ครูประจำปี อ.เจ็กคิดอยู่ในใจว่าจะไหว้ครูที่เฉลิมกรุงเสียก่อน แล้วค่อยย้ายไปที่สามแยกไฟฉาย ครั้นรุ่งเช้าจึงเห็นจอมปลวกขึ้นเต็มหิ้งพระไปหมด อ.เจ็กจึงจุดธูปบอกกล่าวท่านว่าจะย้ายทันทีพรุ่งนี้ รุ่งขึ้นปรากฏว่าปลวกได้หายไปหมด นี่เป็นอภินิหารของหลวงปู่ทองนั่นเอง เงินที่ได้มาเจ็ดหมื่น สุดท้ายใช้ซื้อบ้านและตบแต่งซ่อมแซมจนหมดเกลี้ยงพอดีไม่เหลือไว้เลย
เรื่องราวอภิญญาและปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ทองยังมีอีกมากมาย หากมีโอกาศจะนำมาเล่าในเวลาที่เหมาะสมต่อไป
สำหรับพระเครื่องวัตถุมงคลต่างๆ หลวงปู่ทองก็สร้างไว้พอสมควร เนื่องจากลูกศิษย์นั้นศรัทธาท่านมากเลยขอท่านสร้างและให้ท่านอธิฐานจิตปลุกเสกให้ เช่น ลูกอมชานหมาก(ชานหมากกินไม่หมด) หมากทุย(ไข่นกคุ้ม) ด้านในบรรจุตะกรุด ด้านนอกพอกด้วยผงใบลาน ,ตะกรุดฝาบาตร ซึ่งท่านได้ดำลงไปในสระน้ำเพิ่อลงอักขระ และม้วนด้วยวิชา ตะกรุดนี้ชื่อว่า “ตะกรุดได้ข้าวปลามหาศาล” ,ผ้ายันต์เขียนมือ เสื้อยันต์ ด้านหน้าเป็นยันต์พิชัยสงคราม ด้านหลังยันต์พระเจ้า๑๖ พระองค์ ฯลฯ
•พระเนื้อดินเนื้อผงหลังยันต์ตรีนิสิงเห พิมพ์สมเด็จ พิมพ์ต่างๆ(ยุคต้น) ร.ศ.112(พ.ศ.2436-39) ลูกศิษย์พระและฆราวาสรุ่นเก่าเล่ากันต่อมาว่า พระพิมพ์สมเด็จนั้น หลวงปู่ท่านได้ขอบล็อคแม่พิมพ์พระสมเด็จบางขุนพรหมและผงพุทธคุณจำนวนมาก จากเจ้าประคุณสมเด็จโต นำมาสร้าง หากเป็นพระสมเด็จเนื้อผงล้วนๆ มิใช่เนื้อดินผสมผง ป่านนี้มูลค่าราคาคงจะไปหลักแสนหลักล้านดังเช่นพระสมเด็จยุคเก่าร้อยกว่าปี หรือพระเกจิร่วมสมัยกับท่านอย่างแน่นอน พระยุคต้น หลังยันต์ตรีนิสิงเหนี้ เป็นพระชุดสำคัญ สร้างสมัยหลวงปู่ท่านมีอายุ 73 ปีเท่านั้น ในขณะที่เหรียญที่อ.แก้วสร้างในขณะท่านอายุ 114 ปี มีราคาหลายแสนถึงล้านไปนานแล้ว พระปิดตาหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ ราคาในปัจจุบันเท่าไหร่ ลองเทียบกับพระปิดตา ยันต์ตรีของหลวงปู่ทอง ที่สร้างไล่ๆกับพระสมเด็จบางขุนพรหมดู
•พระเนื้อเมฆพัตรพิมพ์ต่างๆ(ยุคกลาง)ประมาณปี (พ.ศ.2459-60)
•พระเนื้อดินพิมพ์ ลพ.โต พิมพ์นางพญา พิมพ์ปิดตายันต์รอบ พิมพ์ปิดตาเม็ดขนุน พิมพ์ลีลา ประมาณปี(ยุคปลาย พ.ศ.2476)
•เหรียญยอดนิยม เหรียญหน้าลอย (พ.ศ.2477) เหรียญหน้าจม(พ.ศ.2480) ซึ่งอาจารย์แก้ว คำวิบูลย์ได้จัดสร้าง วัตถุมงคลรุ่นต่างๆปัจจุบัน ไม่ค่อยได้เห็นกัน เพราะหายากมาก คนรุ่นนั้นต่างเก็บไว้ใช้กันหมด ที่เราพอจะได้เห็นกันบ้างก็คือ สมเด็จเขียวเหนียวจริง หรือพระสมเด็จกรุบึงพระยาสุเรนทร์ ซึ่งท่านปลุกเสกให้
เป็นยันต์ที่มีพลังพุทธคุณสูงมาก เพราะพระยันต์ตรีนิสิงเหเป็นยันต์ครูใหญ่แห่งยันต์ทั้งปวง มีคุณทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปัดป้องสิ่งอัปมงคลเสนียดจัญไร ที่สำคัญยังช่วยหนุนนำดวงชะตามิให้ตกต่ำอีกด้วย
ที่กล่าวเช่นนี้ ด้วยเพราะในการประกอบพิธีแต่ละครั้ง นอกจากจะต้องประกอบพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ก่อนแล้ว จะทำการอัญเชิญเทพเทวา ฤๅษีทั้ง 108 ตน ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประจำเลขยันต์ตรีนิสิงเหทั้ง 12 ลงมาสถิตย์ที่ตะกรุดเพื่อเป็นพลังพุทธคุณแก่ผู้บูชา ในตำราพระเวทย์จึงยกย่องให้พระยันต์ตรีนิสิงเห เปี่ยมด้วยอานุภาพของเหล่าเทพเทวา และบรมครูฤๅษีเพชรฉลูกัณฑ์ลงมาประทับรักษา เมื่อรวมกันแล้วจึงเป็นตะกรุดยันต์ที่รวบรวมเอาพุทธคุณอันประเสริฐเทพเทวาที่รักษาโลกธาตุ และคุณพระรัตนตรัยอันเป็นมงคลสูงสุด
โบราณใช้แขวนเรือนเวลาคลอดบุตรหรือเรือนผู้มีลูกอ่อน เพื่อป้องกันภูตผีปีศาจและโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยันต์ตรีนิสิงเหยังนิยมใช้จารบนแผ่นโลหะติดเสาเรือน เพื่อปัองกันไฟไฟไหม้และฟ้าผ่า มีคาถาอาคมสำหรับใช้ลงและปลุกเสกประกอบในแต่ละขั้นตอน ซึ่งใช้ดินสอพองเขียนและลบลงบนกระดานชนวน ผงที่ได้จากการทำตามคัมภีร์ตรีนิสิงเห เรียกผงตรีนิสิงเห เชื่อว่ามีอานุภาพทั้งทางอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม ตลอดจนถอนคุณไสยสิ่งอวมงคลทั้งมวล เป็นหนึ่งในวิชาทางไสยศาสตร์ไทยโบราณคือ ปถมัง อิธะเจ ตรีนิสิงเห และมหาราช
เขียนเรียบเรียงและรวบรวมบทความโดย เพจนะพุทธคุณ









คาถา สัมพุทเธหงสา(หลวงพ่อทอง)
สัมพุทเธ อัฏฐะวีสัญจะ พุทโธ เม อะมะหากังปาการัง ทะวาทะสะ สะหัสสะเก ธัมโมเม อะมะหากัง ปาการัง ปัญจะสะตะสะหัสสานิ สังโฆเม อัมหากัง ปาการัง นะมามิหัง สิระสา อะหังเตสัง สัพเพพุทธา ชะนาจิตตัง เต สัญจะธัมมัญจะ สังฆัญจะ สัพเพธัมมา ชะนาจิตตัง อาทะเรนะ นะมามิหัง สัพเพสังฆา ชะนาจิตตัง นะมะการานุภาเวนะ มะ อะ อุ
หันตวา สัพเพ อุปัททะเว อุอะมะ อะเนกา อันตะรายาปิ นะโมพุทธายะ วินัสสันตุ อะเสสะโต ยะธาพุทโมนะ
อิทธิปาฎิหาริย์ หลวงปู่ทอง

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

คุณสัมพันธ์ 5 (อุ่หลุน) (การวางตัวบทบาทหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่น)

 คุณสัมพันธ์ 5 (อุ่หลุน) (การวางตัวบทบาทหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่น)

1.ประมุขกับขุนนาง นายกับบ่าว นายจ้างกับลูกจ้าง หัวหน้ากับลูกน้อง
-ประมุขปฏิบัติกับขุนนางด้วยความเที่ยงตรง เรียกว่าเจิ้ง
-ขุนนางปฏิบัติกับประมุขด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี เรียกว่า จง
2.บิดามารดากับบุตร
- บิดามารดาปฏิบัติกับบุตรด้วยความเมตตาเรียกว่า สยือ
- บุตรปฏิบัติกับบิดามารดาด้วยความกตัญญูกตเวทีเรียกว่า เสี้ยว
3.พี่กับน้อง
- พี่ปฏิบัติต่อน้องด้วยความมิตรไมตรีสนิทสนมเอ็นดู เรียกว่า โยว
- น้องปฏิบัติต่อพี่ด้วยความเคารพยำเกรงเรียกว่า กง
4.สามี กับ ภรรยา
- สามีนำให้ความดูแลคุ้มครองภรรยา เรียกว่า ชั่ง
- ภรรยาตาม ให้เกียรติเชื่อฟังปฏิบัติตามสามี เรียกว่า สุย
5. เพื่อนกับเพื่อน
- เพื่อนต่อเพื่อนปฏิบัติต่อกันด้วยความมีสัจจะมีความจริงใจต่อกันเชื่อถือไว้วางใจต่อกันได้เรียกว่า สิ้น
เมื่อทุกคนทุกท่านปฏิบัติได้ดังนี้ สังคมก็มีแต่ความสงบสุข สามัคคี