วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” - "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

 “กัลยาณการี กัลยาณัง ปาปการี จ ปาปกัง - ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

“อัตตาหิ อัตโนนาโถ - ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”




การทำดีได้ดี นั้นมีแน่ และสอดคล้องกับตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คือ การทำบุญคือสิ่งที่เราต้องทำเอง บุญคือ ทาน ศีล ภาวนา สิ่งที่ได้มีตั้งแต่ระดับปานกลาง คือถึงมนุษย์ภูมิ สวรรค์ภูมิ แต่ถ้าทำถึงที่สุดได้ ก็คือพระนิพพาน
เวลาที่เราถือศีล เราก็ถือเอง เวลาที่เราทำสมาธิ วิปัสสนา เราก็เป็นคนทำเอง ไม่มีใครมาทำให้เรา ไม่มีใครมาทำบุญให้เราไปพระนิพพานได้ เราอยากได้เราก็ต้องทำเอง คืออัตตาหิ อัตโนนาโถ
การทำดีได้ดี ไม่ได้หวังแค่ว่า จะหวังดีแค่ชาตินี้ แต่ต้องหมายเอาถึงภพหน้า ดีที่สุดคือพระนิพพาน คือการไม่กลับมาสู่โลกีย์วิสัยอีก สู่โลกุตตระ ไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เพราะการเกิดเป็นทุกข์ การแก่เป็นทุกข์ การเจ็บเป็นทุกข์ การโศกเศร้าเสียใจสูญเสียของรักของชอบใจเป็นทุกข์ เมื่อเกิดมาก็ต้องตายอีก แล้วเราจะเกิดตายเกิดตายไปอีกกี่ชาติ
ที่สุดแห่งดีคือพระนิพพาน คือผู้ที่พ้นทุกข์ ปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา บรรลุอรหัตตผล เมื่อบรรลุอรหัตตผล จะพ้นทุกข์ทันทีในชาตินี้ เพราะไม่มีความทุกข์ใดๆ อีกแล้ว เพราะผู้ที่บรรลุอรหัตตผล จะวางใจเป็นกลางไม่สุขไม่ทุกข์ วางใจเป็นอุเบกขา จิตใจและอารมณ์ก็ไม่แกว่งไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งต่างๆ อารมณ์ต่างไม่กระทบ เป็นอุเบกขาอย่างเดียว ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย หมดการปรุงแต่ง สลัดทิ้งซึ่งเจตสิกฝ่ายต่ำ ไม่มีอำนาจกลับมาปรุงแต่งจิตอีกแล้ว จิตใจสว่างสุกใส พอตายจากชาตินี้มีนิพพานเป็นที่ไป ที่เดียว
แล้วทางใดที่จะไปถึงความดีนั้นได้ เริ่มจากสิ่งง่ายๆ ได้แก่ทาน ศีล เมื่อทานและศีล บริบูรณ์แล้ว ไม่มีความตะหนี่ ก็ไม่โลภ ลดอัตตาตัวตน ต่อมีก็ต้องมีสติ เพื่อคอยประคองรักษาศีล และมีสติเพื่อเจริญสติปัฏฐาน 4 แล้วมาทำสมาธิ เจริญสมถะกรรมฐาน หายใจเข้า - รู้ หายใจออก - วาง อาณาปานสติ จะเอาคำบริกรรมมาช่วยก็ได้ เมื่อใด ที่จิตหลงหนีไปคิดรู้ทัน จิตหนีไปคิดรู้ทัน เจ็บเมื่อยก็รู้ทัน ว่าเมื่อย กินยืนนั่งนอน ก็รู้อยู่ว่า กินยืนนั่งนอน ต่อมาก็ ปริยัติ ก่อนค่อยไปเจริญปัญญา ปริยัติก็คือการฟังธรรมตามกาล ถ้าบุคคลไม่เรียนรู้ธรรมะ ศึกษาธรรมะเลย จะขาดปัญญา และกิเลสบางตัวยังหนาอยู่ยังไม่เบาบาง ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรมวินัย พระสูตร พระอภิธรรม พุทธประวัติ รวมถึงธรรมะจากคูบาอาจารย์ ให้เข้าใจวิธีการปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติ รวมถึงข้อธรรมที่สอดคล้องมีเหตุมีผลเป็นเหตุเป็นผล ที่เราฟังแล้วสามารถนำไปปฏิบัติ และนำไปพิจารณาให้สอดคล้องกับแนวทางของคูบาอาจารย์ การศึกษาธรรมะจะได้สัมมาทิฐิ เป็นข้อแรกของมรรค 8 เพื่อสั่งสมศรัทธา และปัญญา เมื่อมีความเห็นตรง รู้จุดและแนวทางในการภาวนาแล้ว ก็ดำเนินการปฏิบัติในการเจริญปัญญาด้วยการพิจารณา กาย พิจารณาจิต รวมๆแล้วพิจารณาธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมถึง การรับรู้ จากอายตนะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ /รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ มองให้เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนบังคับไม่ได้ เมื่อใดที่สามารถวางเฉยต่อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ได้ แสดงว่าจิตใจเริ่มมีกำลัง กิเลสเริ่มเบาบางแล้ว เพราะถ้าพิจารณาเห็นรูปผู้หญิง ผู้ชาย เป็นอสุภะ คือความไม่สวยไม่งามได้ ราคะก็จะเริ่มคลายจางลง พิจารณาธรรมทั้งปวง ให้เห็นธรรมในธรรม มองเห็นว่าธรรมต่างๆเป็นทุกข์ ธรรมต่างๆเป็นของไม่เที่ยง ธรรมต่างๆเป็นของไม่มีตัวตน ให้เบื่อหน่ายในขันธ์ 5 จะไม่กลับมาเกิดบนโลกมนุษย์อีก แม้สวรรค์หรือพรหมโลกก็ไม่ต้องการ ปรารถนานิพพานที่เดียว ให้เอานิพพานเป็นเป้าหมาย ตายไปจะต้องไปนิพพานที่เดียว

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

อกุศลวิบาก จิต 7 ดวง

 รู้ - วาง

รู้ - วาง ไม่ต้องตัดสิน
เอาอะไรมาทุกข์
ละนันทิ ทิ้งทั้งสุขและทุกข์ เอาอานาปานสติและคำบริกรรมเข้าช่วย
หายใจเข้า ยาว บริกรรมว่า - รู้
หายใจออก ยาว บริกรรมว่า - วาง
อยู่กับความว่างๆโล่งๆ
-----
ดั่งคำที่ท่านพุทธทาสบอกว่า
"อย่ามุ่งหมายความสุขอันประเสริฐอะไรๆ
ให้มากไปกว่าความปกติของจิต ที่ไม่ยินดียินร้าย
ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามอารมณ์ที่กระทบ เพราะไม่มีสุขอะไร
ประเสริฐยิ่งไปกว่าความปกติของจิตนั้น"
🙏🏻 ท่านพุทธทาสภิกขุ 🙏🏻 #ธรรมะ #คำคม


ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งที่ถูกรู้ กับ สิ่งที่เป็นผู้รู้ (จิต)
cr.จากหนังสือ อภิธรรมสำหรับคนรุ่นใหม่
ดร.ระวี กาวิไล
#อภิธรรม #ธรรมะ 


วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ความหมายที่แท้จริงของ อนิจจา วต สังขารา-สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ...

 อนิจจา วต สังขารา-สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ...

อุปปาทวยธัมมิโน-มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา...
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ-บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป...
อาจเป็นรูปภาพของ บุคคล, เด็ก และ กลางแจ้ง
เตสัง วูปสโม สุโข-การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข...

















อนิจจา วต สังขารา-สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ...
อุปปาทวยธัมมิโน-มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา...
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ-บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป...
เตสัง วูปสโม สุโข-การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข...

เหตุใด เวลาพระพาดบังสกุลถึงสวดบทนี้
จริงๆ แล้ว บทนี้ ไม่ได้หมายความว่า กายไม่เที่ยงหรือรูปไม่เที่ยง อันนั้นมันผิวเผินเกินไป คนเราเกิดมาก็ต้องตายไปเป็นธรรมดา แต่การตายแล้วที่จะไม่ต้องเกิดคือยังไง
การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นความสุข
คำว่า สังขาร สังขารนี้ ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่กายา กายเนื้อ
หรือ รูปปัง ราปา หรือรูป เพราะบท รูปัง อนิจจา อันนี้ก็มีอยู่เวลาเราสวดทำวัตรเช้าวัตรเย็น
อนิจจัง อนิจจา อนิจจ์ ก็แปลว่ามันไม่เที่ยง สิ่งใดที่ไม่เที่ยง
ก็ สังขารา สังขารัง สังขาร นี้ไง
สังขาร เป็น 1 ในขันธ์ 5 ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เรามาพูดถึงตัวสังขาร ตัวปรุงแต่ง ตัวสังขารนี้ก็คือตัวเจตสิก 52 ตัวที่เกิดพร้อมกับจิต ทำหน้าที่ปรุงแต่งจิต มีทั้งฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว และฝ่ายกลางๆ
เคยมองความคิดตัวเองบ้างไหม ว่าวันนึงมันผุดขึ้นมากี่ครั้ง
เจตสิกฝ่ายชั่วนี้ มีกลุ่ม โลภ โกรธ หลง กับพวก ฐิติมานะ กับพวกลังเลสงสัย ง่วงเหงาเศร้าซึม อยู่ รวมถึงตัวอวิชชา ก็คือตัวลังเลสงสัยนั่นแหละ อวิชชาคือตัวโง่คือความไม่รู้ ไม่รู้ในทุกข์ ไม่รู้ในอริยสัจ เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเกิด ถ้าไม่ถอน ไม่ทำลาย ก็พาไปทุกข์ไปเกิดล่ำไป
ดั่งพระท่านบอก ทุกข์เพราะความคิดสังขารปรุงแต่ง มันทุกข์แบบนี้แหละ เพราะถอนอวิชชาไม่ได้ อวิชชาก็คือ 1 ตัวในสังขาร
ให้เห็นสังขารเหมือนฟองสบู่ที่เป่า ดูความเคลื่อนไหวของมัน พระวัดป่าบางองค์ก็บอกให้ดูจิตมันคิดนึกปรุงแต่ง จริงๆ เจตสิก มันไปเป่าหู จิตอีกที เพราะ ถ้าเทศน์บอกโยมว่า โยมเห็นเจตสิกมันปรุงแต่งไหม โยมคงไม่รู้ว่าเจตสิกมันคืออะไร งงไปกันใหญ่ พระบางองค์ก็บอกว่ามันคือใจ ใจเราอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อยากให้เข้าใจตรงกัน ณ ตรงนี้ว่า สังขารหรือเจตสิกมันไปปรุงแต่งอีกที ดับสังขารได้ก็ไปนิพพาน
เพราะจิตเดิมแท้บริสุทธิ์สดใส มีความเป็นของไม่ตายอยู่
จิตเห็นเจตสิก คือ วิญญาณเห็นสังขาร
จิตก็คือมโนวิญญาณ
เมื่อจิตเห็นเจตสิก เจตสิกก็ดับ
เจตสิกมีความเกิดดับ เกิดดับตลอดเวลา
เจตสิกไม่เที่ยง เจตสิกเป็นทุกข์
เจตสิกก็คือสังขารนี้ล่ะ ที่เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

พิจารณาให้เห็นความจริงว่ารูปที่สวยที่งามนั้นไม่จริง

 







เพราะคนเรายังมีธาตุลมกับธาตุไฟ คนก็เลยยังรักยังเอ็นดู

แต่เมื่อเมื่อได ที่ธาตุลมธาตุไฟหายไป เหลือแต่กายซีดๆ

คนรักก็จะเริ่มเบือนหน้าหนี เพราะเขากลัว

ยิ่งเมื่อใด ธาตุน้ำเริ่มไหนออกจากร่างกายอย่างน้ำเหลืองน้ำหนองกลิ่นก็เริ่มโชย นี่เห็นไหม มองให้เป็นอสุภะ

จะได้ตัดสักกายะทิฏฐิ ราคะต่างๆ เห็นสาวๆสวยๆ อย่าไปเลื่อนหนี เบิ่งมันเข้าไป ต่อสู้กับกิเลสในใจเจ้าของ

เบิ่งแล้วกะต้องพิจารณาให้มันเป็นของเฉยๆ เบิ่งปุ๊บให้เห็นเป็นโครงกระดูกลอยขึ้นมาเลย หรือเอาหน้าคนแก่มาเทียบก็ได้ เดี๋ยวก็แก่แล้วหนังก็จะเริ่มเหี่ยวเริ่มยาน

หนีคือแพ้ รอบหน้าเจออีกแพ้อีก มันต้องสู้กันอย่างนี้แหละกับกิเลส สติต้องตั้งมั่น ไม่ใช่ปล่อยใจเคลิ้มๆไปกับรูปที่สวยที่งาม กิเลสมันก็กินหัวเอาหมดปี

ต้องทำลายเชื้อไฟให้หมด ให้มันจุดไม่ติด

วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

จริงๆแล้วคนเรามันวัดกันที่ไหน

 จริงๆแล้วคนเรามันวัดกันที่ไหน

โดย นายพิษณุชัย เรืองจันทึก 17/2/2565 23.17.00 น.



ความอยากมาก ความพยายามมาก ความรู้มาก ก็ประสบความสำเร็จ แต่มีความสุขไหมไม่รู้ เพราะหนี้สินเยอะ
กับบางคนความอยากน้อย ความพยายามน้อย ความรู้น้อย
แต่มีความสุขมากเพราะหนี้สินน้อย
แต่สุดท้ายสิ่งที่ทุกคนเหลือไว้ก็คือคุณงามความดี ต่อให้ตอนยังไม่ตายคุณรวยแค่ไหนประสบความสำเร็จแค่ไหนแต่ไม่ได้ทำความดีเป็นชิ้นเป็นอันเลย
ตายไปเดี๋ยวคนก็ลืม
เพราะความรวย ก็ของคนอื่น ไม่มีใครจะค่อยยกย่องเท่าไหร่ ประมาณว่า รวยแล้วไง ไม่ได้ทานเงินทานทรัพย์สินนั้นมาให้ฉันสักหน่อย แต่ละคนเขาก็จะคิดแบบนี้
แต่ความจริงแล้ว ความอยากมาก ความพยายามมาก ความรู้มาก ความรวยมากนั้น มันเป็นนามธรรม ซึ่งนามธรรมมันมีความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง และอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
แม้แต่กายของคนที่คิดว่าตอนนี้ฉันรวยเองก็ดี สักวันก็คงต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องทุกข์ทรมานและต้องตายลงในสักวัน
จะมาเที่ยวดูถูกคนนั้นคนนี้ทำไมกัน สั่งสมกิเลส สั่งสมความโลภให้กับตน
เมื่อเจอคนมาขัดผลประโยชน์ ก็เกิดโทสะ ไปฆ่าไปปาณาติบาท สร้างกรรมไปอีก นอกจากโลภะ โทสะ แล้วยังโมหะ ครอบงำ ว่ามีตัวมีตน ยึดมั่นถือมั่นในตัวกู ของกู ไม่ละ ไม่ปล่อย ไม่วาง เกิดอยู่ดีๆ ช็อคตายไป ตายทั้งที่จิตใจยัง มีความยึดมั่นถือมั่น ยังโลภยังโกรธยังหลง แถมบุญยังไม่ค่อยสร้าง
ทางต่อไปข้างหน้าทุคติแน่นอน นั่นก็คือเปรต สัตว์นรก อสูรกาย เพราะจิตใจสั่งสมแต่บาปแต่กรรม แต่ความยึดมั่นถือมั่น
อาจจะเป็นเพราะกรรมเก่าด้วย ที่ทำให้เกิดมาเป็นคนแบบนี้ ทำให้เป็นคนโทสะจริต โลภะจริต ทำให้ไม่ได้พบธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ได้พบเพื่อนดี กัลยาณมิตร กัลยาณธรรม สหธรรมิก พบแต่เพื่อนชั่วๆ ชวนกันกินดื่มเที่ยว ทำผิดกฎหมาย
อย่างคำโบราณเขาว่า "โคควายตายไปเหลือเขาหนัง ช้างพังตายไปก็ยังเหลืองา" ส่วนมนุษย์เราเนี่ย ตายไปควรจะทิ้งคุณงามความดีไว้ให้กับโลกบ้าง ให้เป็นวีรบุรุษ วีรสตรี ตายไปแล้วมีคนมาสร้างอนุสาวรีย์ รูปหล่อรูปปั้นหรือหุ่นขี้ผึ้งกราบไหว้บูชา
อย่างคูบาอาจารย์สายวัดป่าหลายท่าน ที่มีการจัดสร้างขึ้นมาก็เช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ส่วนวีรบุรษก็มีกษัตริย์ไทยหลายพระองค์ แต่ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะมี ชาวบ้านบางระจัน จ.สิงห์บุรี เจ้าเมืองก็มี ย่าโม จ.นครราชสีมา เจ้าพ่อพระยาแล จังหวัดชัยภูมิ เราต้องดูพวกท่านเป็นแบบอย่าง
แต่บางคนบางท่านถึงไม่มีอนุสาวรีย์ท่านก็ยังทิ้งบางอย่างเช่นหนังสือหรือผลงานไว้เช่น สุนทรภู่ แต่ที่อำเภอแกลงก็มีรูปปั้นท่านนะเลยไปกราบแล้ว
ยอดรัก สลักใจ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เป็นต้น
ยังไงก็แนะนำให้พากันทำแต่ความดี ทาน ศีล ภาวนา สร้างแต่กรรมดี ปฏิบัติเพื่อมุ่งตรงต่อพระนิพพานให้มีจุดมุ่งหมายคือการหลุดพ้นเป็นที่ตั้ง และสร้างผลงาน สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อลูกต่อหลายต่อชนรุ่นหลัง สิ่งใดคิดว่าเป็นประโยชน์มากกว่าพิจารณาแล้วก็ให้ทำสิ่งนั้น
เอวังฯ

ถ้าสมมุติว่าอีก 3,000 ข้างหน้า หมดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นี้ เกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ถ้าเกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ใส่เสื้อยืดสีดำกางเกงยีน ใส่หมวกแก๊ปกลับด้าน

เขียนโดย นายพิษณุชัย เรืองจันทึก 17/2/2565 19:15:00 น.

ภาพประกอบ สมมุติ


ถ้าสมมุติว่าอีก 3,000 ข้างหน้า

หมดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นี้ เกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ถ้าเกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ใส่เสื้อยืดสีดำกางเกงยีน ใส่หมวกแก๊ปกลับด้าน
ใส่รองเท้าคอนเวิร์ส ตรัสรู้ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้านตนเอง ที่ประเทศอเมริกา
คิดว่าจะมีรูปปั้นหรือรูปวาดของพระพุทธเจ้าองค์นี้ไหม
ที่แบบใส่เสื้อยืดนุ่งกางเกงยีน แล้วให้สาวกของตนเอง แต่งตัว
เหมือนตัวเองหมด คือเสื้อยืด กางเกงยีนสีดำ ใส่หมวกแก๊ปกลับด้าน
มีช่อง youtube เป็นของตนเอง มีคน Donate มากมาย
แล้วเวลา Live ทีไม่มีคนพิมพ์ว่า สาธุ แต่มีแต่คนพิมพ์ very good very good
- - - - - - - - - - - -
มนุษย์ป้าก็จะบอกว่า บ้าหรอคิดได้ยังไง ไม่มีความเคารพ
เฮ้ยป้า เอาจริงๆทุกวันนี้เราก็เริ่มที่จะเห็นสัญญาณแล้วนะ พระเริ่มน้อยลง มนต์เริ่มเสื่อมลง แทนทีด้วยเทคโนโลยี ทุกวันนี้คนหนังเหนียวเริ่มจะไม่มีเหมือนสมัยอยุธยาแล้วนะ
อีกอย่างคือเมื่อหมดศาสนาพุทธ รอบนี้ ตราบใดที่คนเรายัง ใช้เงินในการจับจ่ายซื้อของ ยังมีอายุแค่ไม่ถึง 100 ปี มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ยังไงก็ต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาใหม่ เพราะศาสนาพุทธที่แท้จริงมันอยู่คู่โลก คู่จักรวาลมานานแล้ว และจะอยู่ตลอดไป ขนาดโลกนี้แตกแล้วก็ยังอยู่ โลกเรานี้เรียกว่า ชมพูทวีป ในจักรวาลทางช้างเผือก พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านยังเคยกล่าวว่า มีโลกอื่นอีก ทวีปอื่นอีก ที่เหมือนเรา แต่รูปร่างหน้าตากายเนื้ออาจจะแตกต่างจากเรา
ตราบใดที่ชีวิตคนไม่ได้สุขสบายเต็มไปด้วยความทุกข์ความน่าเบื่อหน่าย เมื่อนั้นย่อมบังเกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เพราะคนที่บำเพ็ญสั่งสมบุญบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าเยอะมาก ง่ายๆ แค่พระในไทยที่จำได้ก็มี หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ หลวงปู่ดู่ อ.อุทัย จ.อยุธยา นี่ยังไม่รวมพระของนิกายมหายาน และผู้คนที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายานนะ คือทุกคนปรารถนา พุทธภูมิหมด
ตราบใดที่โลกไม่ได้สุขสบาย ยังมีคนฆ่าตัวตายหนีจากการมีชีวิตในโลกนี้ ทุกท่านดูสิ เขาฆ่าตัวตายเพราะเหตุอันใด 1. หนี้สิน 2. คนรัก 3. เจ็บป่วยไม่สบาย 4. สูญเสียของรัก บางคนโดนโกงที่จนหมดตัวทนไม่ไหว ฆ่าตัวตายเสียเลย เห็นไหมว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในโลก วันนี้สุข พรุ่งนี้อาจจะทุกข์ ทุกข์มากทุกข์น้อยก็แล้วก็กรรมของแต่ละคน
ถ้าอนาคตโลกเรามีวิทยาการด้านทางการแพทย์ และเศรษฐกิจ เช่น คนครึ่งนึงหุ่นยนต์ครึ่งนึง มีอายุหมื่นปี และ เงินทองไม่ต้องใช้ รัฐบาลโลกผลิตเงินแจกทุกคนเท่าเทียมกัน อยากได้อะไรหยิบไป อยากกินอะไรใช้เลย อยากมีอะไรกับใครก็มีไปเลย ไม่มีใครคอยมาหึงมาหวง คนนี้ของกู คนนี้ของมึง เบื่อคนนี้ ก็เอาคนนั้น แบบนี้ยากเลย พระพุทธเจ้าคงไม่อุบัติขึ้นมา เพราะโลกนี้สุขสบายเหลือเกิน จนคนมองไม่เห็นความทุกข์ แต่มันก็เป็นเพียงความฝันและภาพวาดในอนาคต
------------
ก้าวข้ามความสมมุติไป ก้าวข้ามความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ในผู้อื่น เพราะธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง กับสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่หูได้ยิน อย่าเอามาปฏิสนธิกับวิญญาณ กับมโนวิญญาณ แล้วส่งต่อไปให้เจตสิกปลุงทุกข์ ปลุงสุขให้ตนเอง ทุกข์ก็เศร้าทรมาน สุขก็เคลิ้มๆ เสพติด เสพติดความสุข พอวันไหนไมไ่ด้เสพความสุข ก็จะได้ความทรมานใจไปแทน เพราะเจตสิกตัวความรำคาญใจมันทำงาน ก็ไปปลุงใส่จิตเรา ให้เศร้าหมองไปอีก 🙂
เอวัง .... วัยรุ่น

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เจตสิกฝ่ายเลวคือบ่อเกิดแห่งกองทุกข์


 


การอยู่กับคำบริกรรม หายใจเข้า - รู้

หายใจออก - วาง

ก็คือการละนันทิ ละความเพลิน อกุศลกรรมต่างๆที่จิตเราคิด เรื่องเก่าต่างๆ พอถึงคำว่า วาง  คือวางหมด  พอรู้ คือรู้ใหม่ รู้คือสติ รู้ว่าทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ เวทนาสุขทุกข์ อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี หรือ อารมณ์เฉยๆ เกิดดับๆๆๆ ไปเรื่อยๆเพราะจิตเจตสิกมีการเกิดดับตลอดเวลา อย่าให้สังขาร,เจตสิกปรุงชั่ว ทำแค่2อย่างรู้กับวาง

เจตสิก 3 ฝ่าย กุสลาธรรมา อกุสลาธรรมา อัพยากตาธรรมา(ธรรมที่เป็นกลางๆ) เจตสิกคือธรรมชาติสิ่งหนึ่ง ซึ่งประกอบกับจิต และปรุงแต่งจิตให้ประพฤติเป็นไปตามนั้น มีทั้งหมด 52 ดวง

จิตที่ยังมีเจตสิกฝ่ายเลว ย่อมนำพาให้เกิดภพชาติ

จิตที่ปราศจาก เจตสิกฝ่ายเลว คือจิตที่หลุดพ้น

พ้นอะไร คือพ้นจากทุกข์ พ้นจากการเกิด (ชาติภพ) 

ดั้งนั้น กองทุกข์ ก็คือ เจตสิกฝ่ายเลว 

ได้แก่

อกุศลเจตสิก ๑๔

โมจตุกเจตสิก ๔

1.โมหะ (ความหลง)

2.อหิริกะ(ความไม่ละอายต่อบาป) 

3.อโนตตัปปะ  (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป)

4.อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบแห่งจิต)

โลติกเจตสิก ๓

1.โลภะ (โลภ)

2.ทิฏฐิ (ยึดว่าตัวกูของกู)

3.มานะ (ความถือตน)

โทจตุกเจตสิก ๔

1.โทสะ (ความโกรธ)

2.อิสสา  (ริษยา)

3.มัจฉริยะ (ตระหนี่ถี่เหนียว)

4.กุกกุจจะ (ความรำคาญใจ)

ถีทุกเจตสิก ๒

1.ถีนะ  (ง่วงเหงา)

2.มิทธะ (เศร้าซึม)

วิจิกิจฉาเจตสิก ๑

1.วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)

แต่การบริกรรมทำได้แค่การกดไว้  แต่การจะให้หายไปสิ้นเชิง ต้องเดินปัญญา วิปัสสนากรรมฐาน พิจารณาไตรลักษณ์ในจิต หรือในกาย แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล

#ธรรมะ

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วิชชา ๓ เครื่องมือแห่งการตรัสรู้ธรรม

 



วิชชา ๓ เครื่องมือแห่งการตรัสรู้ธรรม


บทความจากพระสูตรบางส่วนเรื่องการตรัสรู้ธรรมของพระศาสดาบุคคลควรพิจารณาดูอย่างยิ่งเพราะ โลกนี้คือคุกแห่งสังสารวัฏที่ติดของสัตว์

-------------------------------------


การตรัสรู้อริยสัจ ๔ และธรรมอื่นๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัยอำนาจแห่งญาณทัสสนะของวิชชา ๓ เป็นเครื่องมือในการค้นคว้าความจริง วิชชา ๓ นี้ ทรงได้จากการบำเพ็ญสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างอุทิศชีวิตเป็นเดิมพันวิชชา ๓ คืออะไร ?

วิชชา คือ ความรู้แจ้ง คือ ความรู้แจ่มแจ้ง ความรู้ชัดเจน ไม่คลุมเครือวิชชา เป็นความรู้แจ้งเห็นแจ้งตามความเป็นจริงที่เกิดจากการบำเพ็ญวิปัสสนา มิใช่ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน หรือการนึกคิดคาดคะเนวิชชา เป็นชื่อของญาณที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ มี ๓ อย่าง คือ...


วิชชาที่ ๑ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ความรู้แจ้งเป็นเหตุให้ระลึกอดีตชาติของตนเองได้


วิชชาที่ ๒ จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพพจักขุญาณ คือ ความรู้แจ้งในเรื่องการไปเกิดมาเกิดของสัตวโลกทั้งปวง


วิชชาที่ ๓ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้แจ้งที่ทำให้กิเลสสิ้นไป

ด้วยอานุภาพของวิชชา ๓


พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้สำเร็จด้วยอานุภาพของวิชชา ๓ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้สำเร็จ นับแต่นั้นมากิเลสที่ ห่อหุ้ม หมักดอง บีบคั้น บังคับพระทัยของพระองค์มายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น


ดังนั้น พระองค์จึงตรัสปฐมพุทธพจน์เป็นการประกาศอิสรภาพจากการเป็นนักโทษในวัฏสงสารอย่างเป็นทางการว่า...


“เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือนเมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารมีชาติเป็นอเนก ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์,แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว,ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้,ซี่โครงทุกซี่ของท่าน เราหักเสียแล้ว,ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว,จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว,เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว”


ถ้อยคำในปฐมพุทธพจน์บางคำแฝงความหมายไว้ดังนี้


เรือน หมายถึง ร่างกาย ที่ใช้ในการเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วนนายช่างผู้ทำเรือน หมายถึง ตัณหา (ความอยาก) ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของกิเลส อันเป็นสาเหตุให้สรรพสัตว์ต้องติดคุกอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิดเราพบท่านแล้ว หมายถึง เราตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ได้พบท่านแน่นอนแล้วท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ หมายถึง ท่านจะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกไม่ได้


ซี่โครง หมายถึง กิเลสเหล่าอื่นทั้งหมด

ยอดเรือน หมายถึง อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้แจ้งในเรื่องความจริงของชีวิต ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต อันเป็นเหตุให้สัตวโลกตกอยู่ในสภาพการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร


ธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน หมายถึง พระทัยของพระพุทธองค์บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ด้วยการบำเพ็ญสัมมาสมาธิจนกระทั่งบรรลุวิชชา ๓


จากปฐมพุทธพจน์นี้ อาจสรุปได้ว่า วิชชา ๓ นั้น เปรียบเสมือนเครื่องมือที่พระพุทธองค์ทรงใช้ในการค้นพบความจริงต่าง ๆ ที่ถูกปิดบังเป็นความลับไว้ในวัฏสงสารมากมายหลายเรื่อง เช่น อริยสัจ ๔ ภพ ๓ โลกันตร์ เป็นต้น


คนทั้งโลกไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า โลกนี้คือคุกแห่งสังสาารวัฏ ทุกคนล้วนกำลังเป็นนักโทษตดิคุกนี้อยู่วัฏสงสารยาวนานเท่าใด

การบรรลุวิชชา ๓ ทำให้พระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงว่า วัฏสงสารนี้มีมายาวนานจนไม่อาจกำหนดระยะเวลาเบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลายได้ ดังที่ตรัสว่า


“ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้

เมื่อเหล่าสัตว์ผู้ยังมีอวิชชาเป็นที่กางกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ...”


พระองค์ยังได้ตรัสแสดงธรรมอีกว่า เพราะความไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม ทำให้โลหิตที่มนุษย์แต่ละคนต้องสูญเสีย เนื่องจากการถูกตัดศีรษะเมื่อเกิดเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น โค กระบือ แกะ แพะ ไก่ สุกร หรือเป็นโจรปล้น เป็นชายชู้ ฯลฯ


ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนั้น มีปริมาณมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ แห่ง รวมกันเสียอีก แต่ปัญหาก็คือ คนทั้งโลกไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า โลกนี้คือคุกแห่งสังสารวัฏ ทุกคนล้วนกำลังเป็นนักโทษติดคุกนี้อยู่ ไม่รู้ว่าตนกำลังตกอยู่ภายใต้ กฎแห่งกรรมและกฎไตรลักษณ์ ไม่มีใครรู้สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ตนประสบทุกข์ เพราะไม่ว่าคนจน หรือคนรวยต่างก็มีทุกข์ทั้งสิ้น จึงไม่มีใครช่วยใครให้พ้นทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด จำต้องเวียนว่ายตายเกิด และทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกนี้โดยไม่รู้จบสิ้น โดยไม่มีใครตอบได้ว่า วัฏสงสารยาวนานเท่าใด..อนุโมทนาสาธุในการธรรมค่ะทุกท่าน..

----------------------------


ที่ติดของสัตว์


ภิกษุ ท. ! สังสารวัฏนี้ เป็นสิ่งที่มีเบื้องตนและเบื้องปลายอันบุคคลรู้ไม่ได้ (เพราะเป็นวงกลม), เบื้องตน เบื้องปลาย ไม่ปรากฏ แก่สัตวทั้งหลาย ซึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน กําลังแล่นไปอยู่ ท่องเที่ยวไปอยู่.


ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนสุนัข ถูกผูกด้วยเครื่องผูกสุนัข ซึ่งเขาผูกไว้ที่หลักหรือเสา อันมั่นคง : ถ้ามันจะเดินก็เดินเบียดหลักหรือเสานั้นเอง, 

ถ้ามันจะยืนก็ยืนเบียดหลักหรือเสานั้นเอง, ถ้ามันจะนั่งก็นั่งเบียดหลักหรือเสานั้นเอง, ถ้ามันจะนอนก็นอนเบียดหลักหรือเสานั้นเอง, อุปมานี้ ฉันใด ;


ภิกษุ ท. ! อุปไมยก็ฉันนั้น คือ บุถุชน ผู้ไม่ได้ยินได้ฟัง ย่อมตามเห็น พร้อม (คือเห็นดิ่งอยู่เป็นประจํา) ซึ่ง รูป ว่า “นั่นของเรา นั่นเป็นเรา 

นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้ ;ยอมตามเห็นพร้อม ซึ่ง เวทนา ว่า

“นั่นของเรา (เอตฺ มม)นั่นเป็นเรา (เอโสหมสฺมิ) 

นั่นเป็นตัวตนของเรา (เอโส เม อตฺตา)” ดังนี้ ;ยอมตามเห็นพร้อม ซึ่ง สัญญา ว่า “นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้;


ย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่ง สังขาร ทั้งหลาย ว่า “นั่นของเรา นั่นเป็น

เรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้ ;และย่อมตามเห็นพร้อม ซึ่ง วิญญาณ ว่า“นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้.


ถ้าบุถุชนนั้นเดินอยู่ก็เดินอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง, 

ถ้าบุถุชนนั้นยืนอยู่ก็ยืนอยู่ใกล้ ๆปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง, 

ถ้าบุถุชนนั้นนั่งอยู่ก็นั่งอยู่ใกล้ๆ ปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง, 

ถ้าบุถุชนนั้นนอนอยู่ก็นอนอยู่ใกล้ ๆ ปัญจุปาทานขันธ์นี้เอง.


ภิกษุ ท. ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ บุคคลควรพิจารณาดูจิต

ของตนอยู่เสมอไป ว่า“จิตนี้ เศร้าหมองแล้ว ด้วยราคะ โทสะ และโมหะ ตลอดกาลนาน”ดังนี้เถิด.

------------------------------------

- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘๓/๒๕๘.

หลวงตามหาบัว ตอบคำถามท๊อป และเทศน์ให้ท๊อปฟัง

 หลวงตามหาบัว ตอบคำถามท๊อป และเทศน์ให้ท๊อปฟัง เมื่อ 1 กพ 2549

เก็บไว้ในความทรงจำ อยากบวชแต่แม่ไม่ให้บวช

ฟังวีดีโอใน youtube คลิ๊ก VVV



หายใจเข้า รู้ หายใจออก วาง

 นี่แหละที่พยายามให้พากันมาภาวนา หายใจเข้า - รู้

หายใจออก - วาง
รู้ - คือรู้ตัว เป็นพุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน มีสติ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
วาง - วาง ปล่อยวาง อดีต ปล่อยวางความคิดนึกปรุงแต่ง แม้แต่อารมณ์ความโกรธ ความหลง ก็วางให้หมด แทนที่ด้วยคำบริกรรมรู้วางๆ
จนรู้-วาง หายแล้วค่อยถอนมาเดินปัญญา
ระหว่างที่บริกรรมอยู่นั้น จิตมันจะจับอันนั้นมาคิด อันนี้มาคิดมาปรุงแต่ง ให้ตามรู้ตามเห็น ว่ากำลังคิดอยู่ เหมือนอาจารย์ปราโมทย์บอก คิดอยู่ก็ให้รู้ว่าคิด นั่นแหละ
คลิปบรรยายธรรมของพระอาจารย์คม วัดป่าธรรมคีรี เมื่อวาน
ท่านบอกว่า ทิ้งให้หมด ก็คือ สิ่งที่มันผุดขึ้นมาในความคิด เป็นการละนิวรณ์ 5 ไปในตัว

วัดป่าพุทธภาวนา อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา แต่เป็นจุดเริ่มต้นของข้าพเจ้า

สุญญตา 2 แบบ
สุญญตา มีด้วย 2 กรณี
1. ด้วย ฌาณ (สมถะ) ขั้นอรูปฌาณ
2. ด้วย วิปัสสนาเพื่อเข้าถึงนิพพาน คือเดินปัญญา เจริญมรรค ย่อมา ศีล สติ สมาธิ ปัญญา พิจารณาไตรลักษณ์ เอาไตรลักษณ์ไปจับ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ขันธุ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ กาย เวทนา จิต ธรรม (สติปัฎฐาน 4) ก็ได้ , ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็ได้ ย่อมาคือ เห็น รูป กับ นาม เป็น ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จนเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด คลายความยึดมั่นถือมั่นตัวกูของกู จิตปล่อยวางจิต จิตก็เข้ามรรคจิต ผมเคยพิจารณาใบไม้ จนใบไม้ นี่สลายกลายเป็นดิน จนลมเป่า ฟริ้ว ใบไม้ หายหมด เป็นอนัตตา แล้วก็เอาโลก มาพิจารณาต่อ เหมือนเรามองมาจากพระจันทร์ เห็นโลก กลมๆ สีฟ้าสีเขียว นี่ก็พิจารณา โลกเป็นยังไง โลกมันเที่ยงไหม โลกมันเป็นทุกข์ไหม พิจารณาเห็นไฟใหม้ น้ำท่วมโลก อุกกาบาต มาพุ่งชนโลก จนโลก แตกสลายหายหมด แม้แต่ก้อนดิน เม็ดดิน ก็ไม่มี สลายหายหมด เหลือแต่อวกาศเท่านั้น

ดาวน์โหลดหนังสือธรรมะ รู้ - วาง  หายใจเข้า รู้ หายใจออก วาง
free copy แจกเป็นธรรมะทาน โดยนายพิษณุชัย เรืองจันทึก
E-book  คลิ๊กรูป -->

หนังสือธรรมะรู้วาง



หนังสือเสียง ฟังจาก youtube
            คลิ๊ก    https://www.youtube.com/watch?v=mCY0wafMVSk&t=4s
                        



วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

โปรแกรม Pdfill PDF Editor ฉบับที่ใช้ในที่ทำงาน

 โปรแกรม Pdfill PDF Editor ฉบับที่ใช้ในที่ทำงาน

Download free
เปลี่ยน Word ให้เป็น PDF ไม่ต้องไปจัดหน้าใน Indesign ใหม่
เป็น ไฟล์ PDF สำหรับ upload เป็น E-book ใช้ได้เลย
เวลาใช้งาน สามารถสั่งปริ้นใน word excel powerpoint ได้เลย
จะปรากฎ เครื่องปริ้น ที่ชื่อ Pdfill Pdf editer ขึ้นมา แล้วเลือก นามสกุล ตามใจชอบ
จะ PDF JPEG แล้วแต่เลย
Word to PDF





คลิ๊ก 

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วิธีประสบผลสำเร็จในชีวิต



 วิธีประสบผลสำเร็จในชีวิต

รู้จักเหตุ รู้จักผล

รู้จักตน รู้จักประมาณ

รู้จักพบปะชุมชนผู้คน

รู้กาละเทศะ รู้จักคบมิตร

รู้ดี รู้ชั่ว

รู้เขา รู้เรา

——

วิธีอ่านใจคน รู้ความคิดของอีกฝ่าย 1.จับอาการ 2.จับวาจา 3.จับสีหน้า 4. จับกิริยา 5.วิเคราะห์เจตนา 6.ดูเหตุผลเบื้องหลัง 7.ดูความสัมพันธ์ 8. ดูความต้องการของอีกฝ่าย 

—-

วิธีโน้มน้าวใจคน สิ่งที่เราจะทำ 1.ทักทาย 2. ถามความต้องการ 3. ตอบสนองความต้อง  4. โยนหินถามทาง 5. ขอโทษขออภัย 6. สร้างอารมณ์ขัน 7. ชวนสังสรรค์เฮฮาข้าวปลาเหล้าเบียร์เสียงเพลงกลบกล่อม(สุรานารี) 8. แลกเปลี่ยนเบอร์โทรเบอร์ไลน์  9. เมื่อเขาบอกความต้องการของเขา เราก็บอกความต้องการของเราไป 10. หาเหตุผลข้ออ้าง 11. อ้อนวอนวิงวอน 12. ทำหน้าหน้าสงสาร 13. ขอบ อกขอบใจ 14. ไปลามาไหว้