วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

“คืนเหงา”


คืนเหงา
                ในคืนที่เหว่ว้า  ฉันนั่งจ้องตากับความเหงา....

                น้ำค้างหล่นลงบนใบหญ้า ดังติ๋งๆ เสียงจิ้งหรีดหวีดร้องเป็นพักๆ ลมหนาวพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้น้อยใหญ่ไหวเอนไปตามลม  ใบมะขามแก่ปลิวลงสู่พื้นพสุธานับร้อยนับพัน  หมาไอ้บอดตัวอ้วนกลมพลิกตัวไปมาอย่างหนาวเหน็บและน่าสงสาร   ในค่ำคืนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว  ที่สุดแสนจะอ้างว้างและทรมาน  อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง  วันที่น้ำในคลองบึงล้นตลิ่ง  และเป็นวันที่ฉันต้องลอยกระทงคนเดียวอีกเช่นเคย

                ต่อจากนี้ไป ฉันคงไม่มีเธออีกแล้ว  ถึงแม้เราจะได้พบหน้ากันในห้องเรียนทุกวันก็ช่างเหอะ  แต่มันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว  จากคนที่เคยรักกัน  เปลี่ยนความสัมพันธ์มาเป็นเพียงเพื่อนกัน  ฉันจดจำภาพในอดีตเหล่านั้นได้แทบทุกฉากทุกตอนที่เราเคยอยู่ด้วยกัน    บางครั้งเมื่อหวนนึกกลับไป มันก็ทำให้ฉันยิ้มและหัวเราะอยู่คนเดียว โดยไม่แคร์ใครจะว่ายังไง  แต่บางครั้งฉันก็แอบร้องไห้เมื่อนึกหวนคิดกลับไปถึงมันอีกครั้ง 

ต่อแต่นี้ไปฉันคงไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเธออีกแล้ว   ไม่ได้ไปค้างที่หอพักของเธออีกแล้ว  ฉันคงไม่ได้ไปดูหนังกับเธอ  หรือทานข้าวร้านเดิมที่เราเคยทาน  ร้านที่เธอชอบส่งมะเขือเทศปั่น และก็ผัดพริกแกง  ร้านส้มตำหน้าโรงเรียนเด็กน้อย  ที่เธอชอบสั่งตำไทยใส่ปู  เธอชอบดื่มยาคูล 2 ขวด เพราะเธอบอกว่าขวดเดียวมันไม่อิ่ม  เธอชอบกินเครปญี่ปุ่นใส้พริกเผา ไข่ แฮม และก็บอกเจ้าของร้านว่าใส่ซ๊อสช็อคโกแลตเยอะๆ  ในบางวันเราก็ชอบแอบไปกินเนื้อย่างด้วยกันบ่อยๆ ที่เม็ดทราย และไปต่อที่ร้านคาราโอเกะ   แต่ก่อนฉันทำงานเฝ้าห้องคอมฯ ที่พลาซ่าในมอ  ฉันก็มีเพียงเธอเท่านั้นที่มานั่งข้างๆ และรอทานข้าวด้วยกันจนดึกที่โต้รุ่ง 

                ฉันคิดถึงบรรยากาศแต่ก่อนที่ฉันไปพักที่ห้องเธอ  ฉันก็นั่งทำงานอยู่หน้าโน้ตบุคของเธอ  เธอก็ทำงานบ้านของเธอไป  เสียงล้างจาน  เสียงเก็บห้อง  เสียงซักผ้าของเธอ มันก้องอยู่ในหัวฉันทุกวัน  ยิ่งตอนสายๆ มีแดงส่องนิดๆ มันเหมือนกับว่าเราได้แต่งงานกันและได้อยู่ด้วยกัน  เฉกเช่นคู่รัก ที่แต่งงานกันใหม่ๆ

                ฉันคิดถึงมาม่าต้มถ้วยนั้นที่เธอทำให้ฉันกิน  เธอทำมาม่าได้อร่อยมากๆ ถึงเธอจะทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น  ฉันก็ยินดีจะกินมาม่า หรือ ไข่เจียวไหม้ๆ ของเธอทุกวัน

                แล้วฉันจะมานั่งบ่นเพ้ออะไร ในเมื่อฉันเองที่เป็นคนตัดใจจากเธอก่อน  ก็เธอมีใครหลายคนแล้วนิ   แล้วฉันก็ไม่ใช่คนที่เธอรัก ถึงขนาดเอาภาพขึ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ หน้าจอโทรศัพท์  ถ้าเธอขาดฉันไปสักคนคงจะไม่มีใครตายหรอกมั้ง  วันนั้นฉันไปทานข้าวเที่ยงที่ร้านครัวตะวัน  ก็เห็นเธอกับเขา  ไปทานข้าวด้วยกัน อย่างเอร็ดอร่อยสวีทหวานแหว๋ว  ก็เลยไม่อยากทักให้เธอต้องทำตัวลำบาก  แต่ตอนที่เธอจะกลับ  เธอสองคนก็เข้ามาทักฉัน  จนทำให้ฉันหน้าหลา(หน้าเจื๋อน)  เพราะทำตัวไม่ถูก  แล้วยังอยากให้ฉันไปดูหนังด้วยอีก  เธอนี่อะไรกัน  ฉันรู้ว่าเค้ารักเธอ และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากกว่าฉันกับเธอ  แต่ก่อนฉันอาจจะไม่ถือสา  แต่ตอนนี้ฉันรู้สึก  และในเมื่อฉันได้เจอผู้หญิงที่ฉันอยากแต่งงานด้วยแล้ว(มั้ง)  ฉันจึงตัดสินใจที่จะเดินออกจากที่ๆ ตรงนั้น  ตรงที่เราเคยอยู่ด้วยกัน  ที่ๆ เราเคยผ่านทุกข์ ผ่านสุขมาด้วยกัน  ฉันตัดสินใจที่จะไม่เดินทางไปกับเธอและใครอีกหลายคนรวมทั้งเค้าคนนั้นอีกแล้ว  ฉันจะขอเดินทางคนเดียว  เพื่อไปขอเดินร่วมกับคนที่ฉันคิดว่าใช่ดีกว่า  ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้คิดอะไรกับฉันก็ตาม

            ง่วงแล้ว เข้านอนดีกว่า  เพราะตอนนี้ดึกมากแล้ว  หลังจากที่นั่งตากหมอก ตากลมอยู่คนเดียวมานาน  ฉันเดินเข้าไปในศาลาเก่าๆ ของวัดแห่งหนึ่งที่ฉันอาศัยอยู่  จากนั้นก็ดุ่มเข้าไปรูดซิบเปิดเต็นท์ลายครามสีน้ำตาลแก่  ที่เปรียบเสมือนมุ้งและห้องนอนในเวลาเดียวกัน  แล้วค่อยๆมุดหัวเข้าไป  ก่อนจะเอนตัวลงนอนอย่างช้าๆ  ฉันพลิกตัวไปมาอย่างทรมาน  ไม่ใช่เพราะความหนาวของกายแต่อย่างใด  แต่มันเป็นความหนาวของใจของฉัน  น้ำตาของฉันได้ไหนรินอาบแก้มอีกครั้งในท่ามกลางความมืดมิดที่เงียบเหงา  ยังมีชายผู้อ่อนไหวแอบนอนร้องไห้อยู่คนเดียวในเต็นท์ลายคราม

                ความรัก 7 เดือนกับอีก 17 วัน ของฉันได้สิ้นสุดลงเพียงตรงนี้...



มหา    สารคาม

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น